14 พฤศจิกายน 2547

02.25 ไฟบนเครื่องบินก็เปิด แอร์โฮสเตทก็เริ่มเสริฟผ้าร้อน บอกว่าเป็นเวลาตี 4 ครึ่ง ตามเวลาญี่ปุ่น เวลาเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมงจากนั้นสัก 5 นาทีต่อมาก็เริ่มเสริฟอาหาร  คิดดูว่าเสริฟอาหารเข้าตอนตี 2 ครึ่ง นะ หุๆๆ มีโซบะ หรือหมี่เย็นที่บ้านเราเรียก กินกับซุป ข้าวต้ม ปลาหมึก พร้อมหน้าไข่ ลูกบ๊วย อะไรพวกนี้ แล้วมีโยเกริ์ต กับผลไม้ ดูตามรูปเถอะครับ ยังไม่หิว เลยได้ถ่ายรูปก่อนทาน ปิดท้ายด้วยการเสริฟชาเขียวแบบญี่ปุ่น ก็ อร่อยดีพอใช้ได้ พอดีผมชอบอาหารญี่ปุ่น แต่รสชาติที่นี่ออกจะจืด และชืดมาก จากนั้นก็ฉายวิดิโอการเข้าเมือง ซึ่งก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง จนตี 3.30 น. (เวลาไทย) ก็บอกว่าอีก 30 นาทีจะลงที่สนามบินนาริตะ ที่นั่นมีฝนตกเล็กน้อย และอุณหภมิ 10 ํ C ว๊าว จากกรุงเทพฯ เกือบ 40 นะครับ โหย!

ข้างนอกฟ้าสางละ เริ่มเห็นขอบฟ้ารำไร ก้อนเมฆลอยอยู่ข้างล่าง แต่ก่อนลงสัก 20 กว่านาที มีพายุเล็กๆ เรียกว่าอากาศแปรปรวน เราถูกสั่งให้นั่งประจำที่ที่เบาะ แล้วเครื่องก็โคลงเคลงไปมา สัก 15 นาทีได้ สนุกหวาดเสียวดี แล้วก็เริ่มลงที่นาริตะ ฝนยังตกอยู่พรำๆ วูบแรกที่ลงจากเครื่อง หลายคนก็ร้องจ๊าก กรีด กร๊าด  หนาวมาก และวางกระเป๋าลงค้นเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอกันเป็นแถว ผมค้นตั้งแต่บนเครื่องแล้ว พี่โสภา (พี่สาวคนโตลำดับที่ 3 ของผม ซึ่งไปทำผมโฆษณาต่างประเทศบ่อยๆ) บอกว่าเสื้อโค๊ดสีดำตัวนี้ต้องเอาไปเลย ใส่ในกระเป๋าถือ ใช้ทันทีเลยที่ไปถึง สบาย ดูเหมือนคนชำนาญญี่ปุ่นเลย แต่ถึง Terminal  ก็อุ่นจัด หรือเรียกว่าร้อนเลย ถ็ถอดเสื้อกันคลุมถ้วนหน้าเดินไปเดินมาไม่รู้ไปไหนกัน หาป้ายไม่เจอ ก็ตามคนทั้งกลุ่มออกมา มาหยุดรอขึ้น ชัทเติลบัส  กลางเทอร์มินอล 2 ไปตึกหลัก ฝ่าฝนพรำๆ จากนั้นเดินต่อในตุกอีกสักครึ่งกิโล ก็รอตรวจคนเข้าเมือง ตรงนี้ขณะเข้าแถวอยู่ เจ้าหน้าที่สนามบิน ก็เข้ามาจูงมือบอกว่าเชิญมาทางนี้ ไมใช่แถวนั้น ก็ได้เข้าตรวจพาสปอร์ตที่ช่องเด็ก และสตรีมีครรภ์ เอ๊ะ สิทธิพิเศษอะไร หรือหน้าเราเด๊กเด็ก ก็ไม่ทราบครับ ผ่านได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอ และไม่ซักถามเหมือนใครๆ เลย ผ่านการตรวจกระเป๋าที่ต้องเสียภาษีก็ผ่านมาเลย เพราะยังไม่ซื้ออะไร แล้วไปรับกระเป๋า ที่ช่อง เอ3 ทั้งที่คนรอเต็ม แต่ก็ไม่รอนาน ไปถึงก็เจอกระเป๋าบนสายพานเลย

ปัญหาแรกที่เจอคือไม่รู้จุดนัดหมาย ซึ่งเป็นเคาเตอร์ไจก้า ดูตามคู่มือก็ไม่มีตามแผนที่ต้องไปถามประชาสัมพันธ์ บอกว่าอยู่หน้าธนาคารซิตี้แบ้งค์ ซึ่งหาก็ไม่เจอ เกร่ อยู่พักหนึ่งก็ไปเจอรตู้เอทีเอ็มของธนาคารซิตี้แบ้งค์ มองไปมองมาก็เจอข้างหลังเป็นเคาเตอร์เล็กๆ และป้ายเล็กๆ เจ้าหน้าที่เป็นญี่ปุ่น ที่พูดอังกฤษแบบญี่ปุ่น ฟังยา ดีที่มีพี่คนหนึ่ง ชื่อพี่ เสถียร  มาสัมมนาที่โตเกียว 16 วัน ฟังออกแปลให้ เขาถามว่าที่จะไปเกาหลี ทำไมไม่มีวีซ่า  อ๋อ ฟังตั้งนาน เลยอธิบายว่า คนไทยไปเกาหลีไม่ต้องใช้วีซ่า เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล เขาก็ฟังเราไม่ค่อยออกเหมือนกัน จากนั้นก็อธิบายว่าต้องเดินทางไปประมาณ 20 นาที ไป สึคูบะ คิดดูว่าน่าจะประมาณอนุสาวรีย์ชัย  ไปรังสิตกระมัง แต่ให้รอคุณ บุน-ซัง ก่อน รอนานสัก 15-20 นาที  เจ้าหน้าที่ก็มาเรียก เราก็นึกว่าเป็นคนญี่ปุ่นที่ต้องไปส่งเรา ปรากฏว่าเป็นชาวกัมพูชา ชื่อ บุน คลา (ชื่อ คลา นามสกุล บุน ชื่อแปลว่าเสีอลายพาดกลอน)  ที่ได้ทุนเดียวกัน คุยอังกฤษได้ค่อนข้างดี แท๊กซี่เป็นโตโยต้าคราวน์ สีดำ โอ่โถงใหญ่โตมาก เรียกว่าเลมูซีนของที่นี่ เป็นรุ่นใหญ่กว่าแคมรี  เลมูซีนที่นี่มี 2 ยี่ห้อ คือเบนซ์ กับโตโยต้าคราวน์ เจ้าหน้าที่บอกว่า แท็กซี่ที่นี่ อย่าปิดประตูเอง ประตูปิดโดยโชเฟอร์แบบอัตโนมัติ  ไจก้าจ่ายให้หมดแล้วรวมทั้งทิป ไม่ต้องให้อีก (ดีจังเลย)  ผมมากับคุณบุนคลา หรือเรียกที่นี่เลยว่า บุน-ซัง คำว่าซัง(san) ญี่ปุ่นแปลว่า คุณ ใช้ได้กับทุกคน ทุกอายุ

เจ้าหน้าที่ไจก้าบอกว่าใช้เวลา 20 นาที ไปจริงใช้เวลา 65 นาที หรือประมาณอนุสาวรีชัย ไปอยุธยา หรืออย่างน้อยก็สระบุรี ประมาณนี้ แต่ก็ชอบ บรรยากาศข้างนอกดูดี สะอาด ไปหมด ข้างทางไม่เห็นมีกระดาษหรือถุงพลาสติกเลย  จะมีก็ขวด หรือกระป๋องโค๊กบ้างเล็กน้อย จากเมืองก็มาถึงชนบท คงไม่มีคนจนเลยมั้ง บ้านดูแข็งแรงแบบญี่ปุ่น หลังกะทัดรัด (แปลว่าหลังเล็กๆ)  หลังคาแบบวัดญี่ปุ่นที่เห็นในหนัง ผ่านทุ่งนาค่อนข้างกว้างแม้หน้าหนาวยังทำนา คงมีน้ำทั้งปี ง่วงมากเลยครับตอนนี้  เพราะไม่ได้นอน แต่ก็ไม่นอน อยากเห็นบ้านเมืองเขา ฝนลงเม็ดปรอยๆ พยายามถ่ายรูปแต่โฟกัสอัตโนมัติไม่ได้  ส่วนบุน-ซัง หลับเกือบตลอดทางหลังสนทนาไปพักหนึ่งก็กรนซะแล้ว

ถึง สึคูบะ ประมาณ แปดโมงครึ่ง ก็เชคอินเข้าไป แจ้งชื่อว่ามาจากประเทศไทย ก็มีเข้าหน้าที่โครงการมาอำนวยความสะดวกและแนะนำ ทุกคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ยอดเยี่ยม สำเนียงดีและชัดเจน ได้ซองขนาดเอ4 มาซองหนึ่ง แล้วยืมพาสปอร์ตไปก๊อปปี้ แล้วก็ส่งคืน จากนั้นก็ฟรีไทม์ ตามสบายก็ขนของเข้าห้อง สะดวกมากเลย ชอบมาก เพราะอยู่ชั้น 1 ของหนัก แต่ไม่ต้องแบกขึ้นชั้นบน ของที่ชั่งที่บ้าน 21 กก. ชั่งที่สนามบิน 23.5 กก อันที่จริงเขาให้ไม่เกิน 20 กก. แต่เขาไม่ว่าอะไร เคยถามสายการบินแล้ว บอกว่าเกินได้ไม่เกิน 5 กก. ห้องพัก เล็กๆ อย่างที่เห็น กว้างแค่ 2 เตียงกว่ายาวแค่ปลายเตียงเล็กน้อยจัดข้าวของออกจากกระเป๋าเล็กน้อยก็ถ่ายรูปมาให้พวกเราดู  สังเกตว่า ที่หน้าต่างตรงห้องผม มีรั้วต้นไม้มีดอกไม้สีชมพูเข้ม บานสะพรั่งที่เดียว ที่อื่นไม่เห็นมีบานเลย ดูดีจัง คงต้อนรับการมาของเรา หน้าต่างเขามีกระจก 2 ชั้นกันความเย็นได้ดี พอจัดกระเป๋าก็สังเกตว่ามีป้ายสีฟ้า ระบุชั้นการบริการ แบบชั้นนักธุรกิจ เป็นไปได้ว่านี่อาจทำให้ให้ผ่านตลอดง่ายดาย

ออกมาถ่ายรูปด้านหน้าอาคาที่พักของไจก้า สึคูบะ คงหนาว เลยใส่กันหนาวออกไปเต็มที่ หนาวจริงๆ เขาบอกว่าประมาณ 10 องศา สั่นเลย ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี เมเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีแดง ฝนหยุดตกใหม่ๆ เลยแฉะๆ ออกเดินไปหน้าปากซอย มีสวนสาธารณะ มีสนามเตะบอล พัดกอล์ฟ  มีต้นจิงโกะ หรือภาษาจีนเรียก แปะก๊วย เปลี่ยนเป็นสีเหลือง สวยมาก ถ่ายรูปมาฝากเยอะเลย ยังมีต้นไม้ใบไม้มีสีสันต่างๆ ด้วย สวยมาก แต่ก็หนาวมาก ง่วงมาก รีบกลับมานอนดีกว่า แล้วก็หลับไปด้วยผ้าห่มบางๆ 1 ผืน เปิดฮีตเตอร์ไว้ 25 องศา ปิดม่านบังแสง ปลุกนาฬิกาไว้ตอนเที่ยง แต่ไม่ดัง หรือไม่ได้ยินก็ไม่ทราบ ตื่น 12.25 รีบไปทานข้าวได้บัตรอาหาร ตอนแรกเข้าใจว่าฟรี ปรากฏว่าต้องติดไว้ 600 เยน ประมาณ 220 บาท ต่อมื้อเล็กๆ ไว้จ่ายตอนเช็คเอ้าท์ เจอบุน-ซัง ที่ห้องอาหารชวนไปหาซื้อของใช้ประจำวัน  ผมบอกง่วงมาก ขอนอน เขาก็เห็นด้วยกลับไปนอนห้องใครห้องมันต่อ

หลับไปจน 5 โมงเย็นกว่าอาบน้ำให้สดชื่นดีมากเลยห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย แต่ยาวแค่ประมาณ 1 เมตร นั่งแช่อาบนอนไม่ได้แต่ก็ได้อาบน้ำอุ่น แล้วเปิดเอกสารในซองที่ให้มาอ่าน  6 โมงเย็นเริ่มทานอาหารเย็นได้ มื้อนี้ฟรี แต่หยิบอาหารผิด เข้าใจว่าเลือกอะไรก็ได้ 600 เยน แต่เขาจัดอาหารชุดราคา 600 เยนให้ต่างหากซึ่งมองไม่เห็น เยอะดี อิ่ม ทานไปได้ยินคนไทยคุยกันบ้งเบ้งเลยกลุ่มใหญ่ ก็เข้าไปทักทาย แนะนำตัว ฝากเนื้อฝากตัว เป็นหญิง 2 คน จบ โท1 จบเอก 1 มีวิศวกร 2 คน หลักสูตร 6 เดือน กับ1 ปี โหยๆ และคุณปราโมทย์จะกลับ 26 พฤศจิกายน ทั้งหมดก็แนะนำกันใหญ่ถึงที่เที่ยว ที่ชอป ที่กิน การดูแลสุขภาพ กลับห้อง 3 ทุ่มเลยไม่ง่วง คุณเฒ่า แนะนำต่อเรื่องจำเป็นคือห้องคอมพิวเตอร์ ห้องซักฝ้า ห้องคาราโอเกะ ซึ่งบริการฟรีหมด เนื่องจากยังไม่ง่วง เลยมาส่งอีเมล์ไปให้น้องป๊อปพงศ์พัฒน์ที่เมืองไทย ด้วยภาษาอังกฤษ เพราะหาวิธีพิมพ์ภาษาไทยไม่ได้ กลับมาเจอคุณปราโมทย์ ขอไปดูห้องว่าเขาอยุ่กันอย่างไร ก็ได้คุยเรื่องการอุ๊บอิ๊บอาหาร เลยได้กล่องพลาสติกใส่ข้าวมายืม 1 กล่อง การอุ๊บอิ๊บนี้คือมื้อเช้า อาหารเยอะมาก เพราะเขาทำเลี้ยงฝรั่ง แต่เราทานได้ครึ่งเดียว เลยแบ่งครึ่งหนึ่งใส่กล่องกลับมาทานกลางวัน โดยเราไม่ต้องควักเงินซื้อกินเอง เขา(คนเอเชีย) ก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น ยกเว้นฝรั่งที่อิ่มพอดี 1 มื้อ  แหม เขินจัง แต่ก็ประหยัดดี เอาก็เอา ขอบคุณครับ

วันนี้นอนคืนแรกที่ญี่ปุ่น อดนอนบนเครื่องคืนเดียว ง่วงทั้งวัน นอนทั้งวันก็ยังง่วง ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ


[หน้าแรก] ญี่ปุ่นเดือนพฤศจิกายน วันที่ 13  14  15  16  17 18  19  20.1  20.2 ปราสาทนิโจ 20.3 21  22.1 22.2 23.1 23.2 24  25.1 25.2  26  27.1 27.2 28
เกาหลี เดือนพฤศจิกายน วันที่
 28 29 30 เดือนธันวาคม วันที่ 1 2.1  2.2 3 4.1 4.2 5.1 5.2 5.3  6 7 8.1  8.2 9.1 9.1  10ใหม่! 11ใหม่!